วันอาทิตย์ที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2552

เทศกาลกินปลาทู

************************************
หอ การค้าจังหวัดสมุทรสงคราม ร่วมกับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานจังหวัดสมุทรสงคราม กำหนดจัดงาน "เทศกาลกินปลาทูและของดีเมืองแม่กลอง" เพื่อเป็นการส่งเสริมอาชีพการประมง การเกษตร ตลอดจนธุรกิจและอุตสาหกรรมที่ต่อเนื่องกับการประมงและการเกษตร ณ บริเวณหน้าศาลากลางจังหวัสมุทรสงคราม ภายในงานมีการปรุงอาหารจากปลาทูกว่า 50 เมนู เช่น น้ำพริกปลาทู เมี่ยงปลาทู ปลาทูต้มมะดัน แฮมเบอร์เกอร์ปลาทู ฯลฯ ให้ได้ชิมตลอดการจัดงาน ตังแต่วันที่ 12-21 ธันวาคม 2551
นอกจากนี้ยังมีคาราวานสินค้า การกำหน่ายปลาทูสดๆ จากแม่กลอง มีกิจกรรมเวทีกลาง และกิจกรรมวิถีชุมชนของคนเมืองแม่กลอง อีกหลากหลาย
สอบถามรายะเอียดเพิ่มเติม
ประชาสัมพันธ์จังหวัดสมุทรสงคราม โทร. 0 3471 4881, 0 3472 6963
การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานสมุทรสงคราม โทร. 0 3475 2847-8 , E- mail : tatsmsk@tat.or.th
หอการค้าจังหวัดสมุทรสงคราม โทร. 0 3471 8154

คนทั้งประเทศรู้จัก “ปลาทูแม่กลอง” ในรูปของปลาทูนึ่งในเข่งเล็ก หน้างอ คอพับ เนื้อขุ่น มัน หอม และมีรสชาติความอร่อยอันโดดเด่น เป็นที่ยอมรับว่าเป็นสุดยอดปลาทูไทยหนึ่งเดียว เช่นเดียวกับของดีแม่กลองอื่น ๆ อาทิ ลิ้นจี่ พริก หมาก พลู และปลากัดจากบางช้าง น้ำตาลมะพร้าว น้ำตาลสด ชมพู่สาแหรก ส้มโอขาวใหญ่ ฯลฯ แม่ค้าขายปลาในทุกตลาดต่างก็ร้องบอกต่อลูกค้าของตนว่า “ปลาทูโป๊ะแม่กลอง” อันเป็นชื่อยี่ห้อที่การันตีถึงคุณภาพและถิ่นกำเนิด โดยมิต้องการคำอธิบายประกอบ

ปลาทูเป็นสินค้าพื้นเมืองอย่างหนึ่งของจังหวัดสมุทรสงคราม มีขายทั้งปลาทูสดและปลาทูนึ่ง เป็นที่นิยมบริโภคเพราะตัวใหญ่ มีความมันและเนื้อนิ่มปลาทูนึ่งของจังหวัดสมุทรสงครามก็รสชาดดี มีเอกลักษณ์ คือจัดวางเรียงในเข่งแล้วหักหัวงอพับลงมาอย่างมี ศิลปะทำให้ปลาทูอ้วนสั้น ไม่แข็งทื่อ เหมือนปลาทูนึ่งทั่วไป

ปลาทู เป็นปลาทะเลชนิดหนึ่ง เล่ากันว่า เป็นปลาที่หากินไกลมากจะวางไข่ในอ่าวไทย แล้วไปผสมพันธุ์ที่ญี่ปุ่นแล้วพา ลูกว่ายน้ำกลับเมืองไทย กว่าจะถึงอ่าวไทยก็โตเต็มวัยกำลังน่ารับประทานพอดี


ขณะนี้จำนวนปลาทูกำลังลดน้อยลง เนื่องจากเรืออวน ลากหอยลาย และเรืออวนลากที่เจ้าของเรือสั่งจากประเทศเยอรมัน ทำให้น้ำเน่าเสีย ทำลายเกาะแก่งประการังที่เป็นที่วางไข่ของปลาทู ปลาหมึก ปลาทู ปลาหมึก จึงมีจำนวนลดน้อยลงมาก ข้อสังเกตของชาวประมงพบว่า ปลาทูที่เนื้อนิ่มกับอร่อย นั้นมี 2 แห่ง คือ จังหวัดสมุทรสงครามและจังหวัดสตูล เพราะปลาจากที่ แหล่งอื่นเป็นดินทราย เนื้อจะแข็ง ขาดความมัน ไม่อร่อย และเป็นที่รู้กันว่าปลาทูจากเรือตังเกและเรืออวนลาก มีรสชาดที่ต่างกันชัดเจน ปลาทูโป๊ะจะมีตัวสีขาว แถบน้ำเงินสดใส ตาโต แต่ปลาตังเกและปลาอวนลาก จะมีตัวค่อนข้างหนา ไม่ได้ขนาด ตาแดง เนื้อแข็ง ไม่นิ่มเหมือนปลาโป๊ะ
กิจการขายปลาทูนึ่ง เป็นอาชีพที่ทำรายได้ดีพอควร มีทำกันเป็นอุตสาหกรรมในครอบครัว ทำขายกันตามความต้องการของตลาด กับอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ส่งไปขายจังหวัดใกล้เคียง

เมนูจานเด็ดจากปลาทู
•ปลาทูย่างน้ำปลาหวาน •ห่อหมกปลาทู •ปลาทูทอดราดพริกแกง •ปลาทูต้มมะดัน •ยำปลาทู •แกงไตปลา •แกงส้มปลาท ู•ปลาทูชุบแป้งทอด •ปลาทูแดดเดียว •ตับปลาทูผัดฉ่า •ปลาทูผัดฉ่า •ปลาทูต้มส้ม •ปลาทูฉู่ฉี่ •ปลาทูต้มหวาน •ปลาทูผัดขิง •แกงป่าปลาทู •ปลาทูนึ่ง •ยำปลาทู •ปลาทูสามรส •ขนมจีนปลาทู •ปลาทูทอดกระเทียม •ปลาทูทอดกระเทียมพริกไทย •ปลาทูต้มยำ •ส้มตำปลาทู •เมี่ยงปลาทู •ปลาทูต้ม 5 รส •ข้าวผัดน้ำพริกปลาทู•ปลาทูซาเตี๊ยะ •ปลาทูผัดผักชีล้อม •ปลาทูต้มมะนาว •ปลาทูผัดพริกไทยดำ •ทอดมันปลาทู •แกงเขียวหวานปลาทู •ปลาทูฟู •ปลาทูทอดราดน้ำยำ •ข้าวผัดแกงเขียวหวานปลาทู •ข้าวผัดตับปลาท

วัดเพชรสมุทรวรวิหาร


ตำบลแม่กลอง อำเภอเมือง จังหวัดสมุทรสงคราม
ดูภาพขยายคลิกที่ภาพ

วัด เพชรสมุทรวรวิหาร เดิมชื่อ "วัดศรีจำปา" สร้างขึ้นในราวรัชสมัยพระเจ้าปราสาททองแห่งกรุงศรีอยุธยา ตามตำนานเล่าว่า ในปี พ.ศ.2307 ชาวบ้านแหลมในเขตเมืองเพชรบุรีอพยพหนีพม่ามาตั้งบ้านเรือนอยู่บริเวณตำบลแม่ กลองเหนือวัดศรีจำปา และเรียกหมู่บ้านนี้ว่า "บ้านแหลม" ตามชื่อหมู่บ้านเดิมของตน ชาวบ้านแหลมได้ช่วยกันบูรณะวัดศรีจำปาและเรียกวัดนี้ใหม่ว่า "วัดบ้านแหลม" ต่อมาวัดบ้านแหลมได้ยกฐานะขึ้นเป็นอารามหลวงชั้นวรวิหาร ได้รับพระราชทานนามว่า "วัดเพชรสมุทรวรวิหาร"

สิ่งที่น่าสนใจ

  • หลวงพ่อบ้านแหลม
    พระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองของจังหวัดสมุทรสงคราม ซึ่งมีความศักดิ์สิทธิ์เป็นที่เคารพเลื่อมใสของคนทั่วไป เป็นพระพุทธรูปยืนอุ้มบาตรขนาดเท่าคนจริง สูงประมาณ 167 เซนติเมตร ตามตำนานเล่าว่า ชาวประมงบ้านแหลมออกไปลากอวนในอ่าวแม่กลอง ได้พระพุทธรูปติดมา 2 องค์ องค์หนึ่งเป็นพระพุทธรูปนั่ง อีกองค์หนึ่งเป็นพระพุทธรูปยืน พระพุทธรูปนั่งได้อัญเชิญไปประดิษฐานไว้ที่วัดเขาตะเครา จังหวัดเพชรบุรี ส่วนพระพุทธรูปยืนนำมาประดิษฐานไว้ที่วัดบ้านแหลม เรียกกันว่า "หลวงพ่อบ้านแหลม"
    ตอนที่ชาวประมงพบในอ่าวแม่กลองบาตรนั้นสูญหายไปในทะเล สมเด็จเจ้าฟ้า กรมพระยาภาณุพันธุวงศ์วรเดช ที่ได้เคยเสด็จมานมัสการ ได้ถวายบาตรแก้วสีน้ำเงินถวายหลวงพ่อบ้านแหลมเป็นพุทธบูชา และยังปรากฏอยู่จนทุกวันนี้
    พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระราชศรัทธาหลวงพ่อบ้านแหลม จึงพระราชทานผ้าดิ้นทองแก่หลวงพ่อจำนวนสองผืน แต่ละผืนมีขนาดหน้ากว้าง 6 นิ้ว ยาวประมาณ 10 ฟุต ปัจจุบันทางวัดได้จัดแสดงไว้ในพระอุโบสถที่ประดิษฐานหลวงพ่อบ้านแหลม ในวันสำคัญ เช่น วัดสงกรานต์ วันทอดกฐินพระราชทาน จะนำผ้าดิ้นทองพระราชทานมาประดับองค์หลวงพ่อบ้านแหลมด้วย
    "หลวงพ่อบ้านแหลม" เป็นที่เคารพบูชาในหมู่พุทธศานิกชนโดยทั่วไป ในแต่ละวันจะมีผู้ศรัทธาจากทั่วทุกสารทิศมากราบนมัสการอย่างเนืองแน่น มีการเปรียบเปรยว่า หากใครไปเมืองสมุทรสงคราม ไม่ได้ไปนมัสการหลวงพ่อบ้านแหลมก็เสมือนไม่ได้ไปเมืองสมุทรสงคราม ใครพูดถึงเมืองสมุทรสงคราม ไม่กล่าวถึงนามหลวงพ่อบ้านแหลมก็เสมือนไม่รู้จักสมุทรสงคราม คนสมุทรสงครามคนใดไม่เคยเห็นหลวงพ่อบ้านแหลม ก็เปรียบเสมือนลูกกำพร้าไม่เคยเห็นหน้าพ่อ
  • ทัศนียภาพริมแม่น้ำแม่กลอง
    เนื่อง จากวัดเพชรสมุทรฯ ด้านหลังวัดมีบริเวณติดกับแม่น้ำแม่กลอง จึงสามารถชมทัศนียภาพชีวิตความเป็นอยู่และการดำรงชีวิตของประชาชนที่อยู่ริม แม่น้ำ
    หากมีความประสงค์จะท่องเที่ยวทางน้ำ บริเวณด้านซ้ายมือของวัด(ด้านที่ติดกับแม่น้ำ) จะมีท่าเทียบเรือ ซึ่งจะมีทั้งเรือเมล์ เรือหางยาว สามารถที่จะเช่าท่องเที่ยวไปตามลำน้ำแม่กลอง หรือสถานที่ต่าง ๆ อาทิ อุทยาน ร.2, วัดบางแคน้อย, ค่ายบางกุ้ง, อาสนวิหารแม่พระบังเกิด หรือตลาดน้ำดำเนินสะดวก ในจังหวัดราชบุรีซึ่งมีอาณาเขตติดต่อกับจังหวัดสมุทรสงครามได้

การเดินทาง

  • ทางรถยนต์
    จากกรุงเทพฯ ใช้ทางหลวงหมายเลข 35 ถนนพระราม 2 (ถนนธนบุรี-ปากท่อ เดิม) ไปถึงหลัก กม.ที่ 63 ชิดซ้ายใช้ทางคู่ขนานต่างระดับ เข้าตัวเมืองสมุทรสงคราม ถึงสี่แยกแรกตรงไปเข้าตัวตลาด ถึงสี่แยกที่สอง(แยกโรงพยาบาลสมเด็จพระพุทธเลิศหล้า) เลี้ยวขวาและตรงไป ข้ามทางรถไฟ ขับไปอีกประมาณ 100 เมตร วัดอยู่ทางซ้ายมือ (บริเวณพื้นที่ตรงข้ามกับวัดเป็นที่จอดรถได้)
  • รถประจำทาง
    นั่งรถโดยสาร บขส สายกรุงเทพ-แม่กลอง หรือรถปรับอากาศสาย กรุงเทพ-ดำเนิน (รถเข้าตัวเมืองสมุทรสงคราม) ที่สถานนีขนส่งสายใต้ใหม่ แล้วนั่งรถมอเตอร์ไซด์รับจ้างที่ท่ารถ บขส.สมุทรสงครามต่อ

ตลาดน้ำบางน้อย

เที่ยวสมุทรสงคราม เที่ยวตลาดน้ำบางน้อย

ตลาดน้ำบางน้อย

ตลาดน้ำบางน้อย

ตลาดน้ำบางน้อย

ตลาดน้ำบางน้อย

ตลาดน้ำบางน้อย

ตลาดน้ำบางน้อย

ตลาดน้ำบางน้อย

ตลาดน้ำบางน้อย

ตลาดน้ำบางน้อย

ตลาดน้ำบางน้อย

ตลาดน้ำบางน้อย


เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก OaddybeinG

หากพูดถึงตลาดน้ำในจังหวัดสมุทรสงคราม เชื่อว่าหลายคนเป็นต้องนึกถึง "ตลาดน้ำอัมพวา" เป็นแน่ เพราะที่อัมพวาแห่งนี้ คือตลาดน้ำแห่งแรกของประเทศไทย ที่เปิดตั้งแต่เช้ายันเย็นยันค่ำกันเลยทีเดียว (ตลาดน้ำที่อื่นมักจะเปิดกันในเวลากลางวัน) แถมที่นี่ยังมีของกินอร่อยๆ พืช ผัก ผลไม้นานาชนิด และยังมีของใช้ของที่ระลึกให้นักท่องเที่ยวได้เลือกช้อปเลือกชิมมากมาย หรือจะเลือกนั่งเรือเล่นชมหิ่งห้อยประกายความงามระยิบระยับยามค่ำคืนก็ไม่มี ใครว่า

แต่... จะมีใครรู้บ้างว่า ที่จังหวัดสมุทรสงครามแห่งนี้ ยังมีตลาดน้ำอีกแห่งหนึ่งที่น่าสนใจไม่แพ้กัน นั่นก็คือ "ตลาดน้ำบางน้อย" ตลาดน้ำเก่าแก่ที่มีอายุกว่า 100 ปี แต่ถูกลืมเลือนมานานหลายสิบปี... ณ วันนี้ ตลาดน้ำบางน้อย ได้รับการฟื้นฟูจากการร่วมแรงร่วมใจของชาวบางน้อย และเปิดตลาดขึ้นอย่างเป็นทางการอีกครั้ง เมื่อวันที่ 11 เมษายน 2552 ที่ผ่านมา โดยมุ่งเน้นให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ เพื่อรักษาสภาพทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมของพื้นที่ และรักษาขนบธรรมเนียมประเพณี วัฒนธรรมอันดีงามของชาวบางน้อยให้คงไว้ชั่วนิจนิรันดร์

"ตลาดน้ำบางน้อย" ตั้งอยู่ที่ปากคลองบางน้อย (วัดเกาะแก้ว) ต.กระดังงา อ.บางคนที จ.สมุทรสงคราม อยู่ห่างจากตลาดน้ำอัมพวาเพียง 4 กิโลเมตร เป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ที่มีทั้งของกินของใช้มากมาย ทั้งผักสด ผลไม้นานาชนิด ไม่ว่าจะเป็น ลิ้นจี่ (ผลไม้ที่ขึ้นชื่อที่สุดของสมุทรสงคราม) ส้มโอ มะม่วง กล้วย มะพร้าว น้ำตาลมะพร้าว วุ้นมะพร้าวอ่อน ข้าวเหนียวมะม่วง ขนมจาก ปลาทู กะปิคลองโคน เป็นต้น

ว่าแล้วเราก็ขอแนะนำของกินอร่อยๆ ให้เพื่อนๆ ได้รู้จักกันสักหน่อยดีกว่า ... เริ่มกันที่ "หอยทอดกระโดดน้ำ" ร้านหอยทอดที่ใครๆ ล่ำลือว่าอร่อยนักอร่อยหนา ถ้าอยากรู้ว่าอร่อยขนาดไหน ต้องลองไปพิสูจน์ด้วยตัวคุณเองค่ะ ต่อกันที่ "ขนมจีบตังเก" ที่มีให้เลือกหลากหลายใส้ แถมยังมีซาลาเปารสอร่อยๆ ให้เลือกอีกเพียบ ... เดินไปเดินมา หากคอเริ่มแห้งต้องแวะนี่เลย "ร้านกาแฟโบราณ เจ๊แต๋ว" กาแฟรสชาติหวานมันเข้มข้น ... หรือจะเลือกไปนั่งชิวๆ กินก๋วยเตี๋ยวตังเก ผัดไทยไฟลุก ขนมเบื้องรสชาติโบราณ ข้าวเกรียบปากหม้อ ริมลำน้ำก็ได้อารมณ์ไปอีกแบบ

ตลาดน้ำบางน้อย

ตลาดน้ำบางน้อย

ตลาดน้ำบางน้อย

ตลาดน้ำบางน้อย

ตลาดน้ำบางน้อย

หลัง จากหนังท้องเริ่มตึง ก็ได้เวลาไปท่องเที่ยวกันต่อ ว่าแต่ว่า... ที่ตลาดน้ำบางน้อยจะมีที่ไหนน่าเที่ยวบ้างนั้น เราไปดูพร้อมๆ กันเลย

เริ่มกันที่ "วิหารหน้าวัดเกาะแก้ว" เมื่อเดินทางมาถึงตลาดน้ำบางน้อย เพื่อนๆ จะเห็นวิหารของหลวงพ่อเขาตะเครา หลวงพ่อบ้านแหลม หลวงพ่อโสธร อยู่ด้านหน้าตลาดน้ำ ซึ่งที่นี่ถือเป็นที่พึ่งทางใจและเป็นที่สักการะของผู้คนแถวนั้น

ต่อกันที่ "พิพิธภัณฑ์ตั้งเซียมฮะ" ตั้ง อยู่ตรงหัวมุมทางเข้าตลาดน้ำบางน้อย เป็นสถานที่เก็บรวบรวมไห โอ่ง จาน ชาม และของเก่ามากมาย เพื่อนๆ สามารถเข้าไปชมได้โดยไม่ต้องเสียตังค์ค่ะ

"พิพิธภัณฑ์วัดไทร" ชมคำภีร์โบราณพัดสาน ของสมเด็จพุทธาจารย์โต (พรหมรังสี) มอบให้หลวงปู่อ่วม อดีตเจ้าอาวาสวัดไทร สมัยเมื่อครั้งเคยมาพักที่วัดไทร และของโบราณอีกมากมาย

"โรงพิมพ์ ส.วิจิตร" เป็นโรงพิมพ์ขนาดเล็กที่สุดในจังหวัดสมุทรสงคราม พิมพ์โดยใช้แท่นโยกมือ อยู่ริมน้ำปากคลองบางน้อย หากเพื่อนๆ สนใจสามารถแวะเข้าไปชมได้ค่ะ

"ค่ายบางกุ้ง" หรือ เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า "ค่ายจีนบางกุ้ง" เป็นค่ายทหารเรือไทยที่มีการสร้างแนวกำแพงจำลองไว้เพื่อเป็นอนุสรณ์จากการ สู้รบ ค่ายแห่งนี้มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ สืบเนื่องจากเหตุการณ์หลังเสียกรุงศรีอยุธยา ครั้งที่ 2 เมื่อ พ.ศ. 2310 สมเด็จพระเจ้าเอกทัศน์ได้โปรดให้ยกกองทัพเรือมาตั้งค่าย ที่ตำบลบางกุ้ง เรียกว่า ค่ายบางกุ้ง เนื่องจากเมืองแม่กลองเป็นเส้นทางที่กองทัพพม่าใช้ในการเดินทัพ โดยสร้างกำแพงล้อมวัดบางกุ้งให้อยู่กลางค่ายเพื่อเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจและ เป็นที่เคารพบูชาของทหาร พระเจ้าตากสินมหาราชได้โปรดให้คนจีนจากระยอง ชลบุรี ราชบุรี และกาญจนบุรี รวบรวมผู้คนมาตั้งเป็นกองทหารรักษาค่าย ค่ายนี้จึงมีชื่อเรียกอีกชื่อหนี่งว่า "ค่ายจีนบางกุ้ง" พระองค์ทรงให้ชื่อทหารเหล่านี้ว่า "ทหารภักดีอาสา"

นอกจากนี้ยังมี "โบสถ์ปรกโพธิ์" เป็นอุโบสถหลังเดิม ที่สร้างตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี ถูกปกคลุมด้วยรากไม้ใหญู่ทั้งต้นโพธิ์ ต้นไทร ต้นไกร และต้นกร่าง มองจากภายนอกคิดว่าเป็นกลุ่มต้นไม้ใหญ่ มากกว่ามีโบสถ์อยู่ข้างใน รากไม้เหล่านี้ช่วยให้โบสถ์คงรูปอยู่ได้ ภายในมีพระพุทธรูปประดิษฐาน ชาวบ้านเรียกว่า หลวงพ่อโบสถ์น้อย (หลวงพ่อนิลมณี) และเรียกโบสถ์ว่า "โบสถ์ปรกโพธิ์" และมีภาพจิตรกรรมฝาผนัง สมัยปลายกรุงศรีอยุธยาเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับพุทธประวัติอีกด้วย

"วัดบางกุ้ง" เป็นวัดเก่าแก่สมัยกรุงศรีอยุธยาเช่นกัน อยู่คนละฝั่งกับค่ายบางกุ้งโดยมีถนนผ่านกลาง สิ่งที่น่าสนใจในวัดนี้ ได้แก่ คัมภีร์โบราณ ส่วนมากจะเป็นตำรายาโบราณ และบริเวณหน้าวัดด้านที่ติดกับแม่น้ำแม่กลอง จะมีปลาน้ำจืดต่างๆ อาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก จนได้ชื่อว่า "วังมัจฉา" หากใครใคร่ซื้ออาหารเลี้ยงปลา ที่นี่ก็มีให้เลือกเพียบเลยค่ะ ไม่ว่าจะเป็นขนมปังต่างๆ หรืออาหารเม็ด

อย่างไรก็ตาม ที่นี่ยังมีสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจอีกมากมาย ถ้าอยากรู้ว่ามีที่ไหนเจ๋งๆ บ้าง ต้องลองไปเที่ยวที่ตลาดน้ำบางน้อยดูค่ะ ทั้งนี้ หากเพื่อนๆ ต้องการไปพักผ่อนค้างคืนแบบชิวๆ บรรยากาศดีๆ ที่นี่เค้าก็มีบ้านพักริมน้ำแบบโฮมสเตย์ไว้คอยบริการสำหรับนักท่องเที่ยวอีก ด้วย โดยสามารถสอบถามข้อมูลการท่องเที่ยวเพิ่มเติมได้ที่ สำนักงานเทศบาลตำบลกระดังงา โทร. 034-761-537 ต่อ 105 (ในเวลาราชการ) หรือสายตรง นายกสมภพ รัตนไพบูลย์ โทร.089-8361456 นายกเทศมนตรีตำบลกระดังงา หรือนายดนัย เชื่อมประไพ กองสาธารณสุขและสิ่งแวดล้อม โทร.081-3409111

การเดินทาง

เนื่องจาก จ.สมุทรสงคราม อยู่ห่างจากกรุงเทพประมาณ 72 กิโลเมตร ฉะนั้นการเดินทางค่อนข้างสะดวก นอกจากรถยนต์ส่วนตัวแล้ว ยังมีรถตู้หลายสายด้วยกันหรือจะขึ้นรถทัวร์ก็ได้

จากอนุสาวรีย์ชัยฯ มีรถตู้มาลงแม่กลอง และสามารถต่อรถสาย 333 จากแม่กลองไปลงตลาดน้ำบางน้อยได้เลย

จากอนุสาวรีย์ชัยฯ มีรถตู้มาลงที่ตลาดน้ำบางน้อย

จากสายใต้ใหม่ มีรถทัวร์มาลงที่ จ.สมุทรสงคราม

รถยนต์

ถ้าจะมารถยนต์ส่วนตัวก็ไม่ยาก เพียงขับรถตรงมาตามทางที่มา จ. สมุทรสาคร แต่ไม่ต้องเข้าตัวเมืองสมุทรสาคร ให้ขับตรงต่อมาที่สมุทรสงครามเข้าทางเดียวกับตลาดน้ำอัมพวา แต่เพียงแค่ขับรถเลยออกมาประมาณ 4 กิโลเมตร ก็จะถึงตลาดน้ำบางน้อยแล้วค่ะ

เที่ยวสมุทรสงคราม... เที่ยวตลาดน้ำบางน้อย... ไม่ลองไม่รู้นะจะบอกให้!!

ดอนหอยหลอด


ตำบลบางจะเกร็ง อำเภอเมือง จังหวัดสมุทรสงคราม
ดูภาพขยายคลิกที่ภาพ

เป็นสันดอนที่เกิดขั้นบริเวณปากแม่น้ำแม่กลองชายฝั่งทะเลของจังหวัดสมุทรสงคราม มีลักษณะเป็นสันดอนใหญ่ตลอดชายฝั่งทะเล อยู่ห่างจากชายฝั่งประมาณ 50 เมตร 2,000 เมตรมีเนื้อที่ทั้งหมดประมาณ 22,000 ไร่ จำนวนดอนที่เกิดขึ้นในขณะนี้มีทั้งหมด 7 ดอน แต่ละดอนแยกจากกันด้วยร่องน้ำเล็ก ๆ ลึกบ้าง ตื้นบ้างดอนที่มีหอยหลอดชุกชุมมากมีจำนวน 5 ดอน ซึ่งเป็นดอนที่เกิดขึ้นนานแล้ว ความหนาแน่นของหอยหลอดบนพื้นที่ประมาณ 15,056.25 ไร่ลักษณะพื้นที่ของดอนหอยหลอดเป็น ลักษณะดินปนทราย ชาวบ้านเรียกว่า "ทรายขี้เป็ด" ซึ่งอาจนำไปใช้ถมที่ได้ แต่ใช้ประโยชน์ในการก่อสร้างไม่ได้หอยหลอดจะอยู่หนาแน่นบริเวณที่มีทรายประมาณ 60 เปอร์เซ็นต์ขึ้นไป ความหนาแน่นของหอยหลอดขึ้นอยู่กับ สภาพแวดล้อมในแต่ละปีที่เปลี่ยนแปลงไป

หอย หลอดเป็นสัตว์น้ำทะเลชนิหนึ่ง มีชื่อสามัญว่า Rozor clam และมีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Solen Strictus Gould 1861จัดเป็นหอยสองฝาที่มีตัวอาศัยอยู่ในฝาที่ประกบทั้งสองข้าง มีลักษณะคล้ายหลอดกาแฟ กลมยาวประมาณ 7-8 เซนติเมตร สีน้ำตาลอ่อน ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 1เซนติเมตร เป็น ขนาดของหอยที่โตเต็มที่ มีสภาพความเป็นอยู่โดยการฝังตัวตั้งเป็นแนวดิ่งอยู่ใต้พื้นทราย ยามน้ำแห้งซึ่งเป็นช่วงโอกาสที่ชาวประมงจะทำการจับหอยหลอดได้หอยจะเปิดฝา อยู่เรี่ยพื้น และยึดตัวยื่นออกมาจับแพลงตอนเป็นอาหารหรือการเคลื่อนตัวออกไปหาพื้นที่อยู่ ใหม่

สิ่งที่น่าสนใจ

  • ดอนหอยหลอด
    เนื่อง จากดอนหอยหลอดมีหอยหลอดชุกชุมมาก และมีทัศนียภาพที่สวยงาม แปลก และมีเอกลักษณ์ ยามปกติเวลาน้ำขึ้นน้ำทะเลจะท่วม ดอนจะจมหายไปในน้ำไม่มีร่องรอยของดอนหอยหลอดอยู่เลยแต่พอน้ำลงจะปรากฏ พื้นที่ดอนหอยหลอดค่อย ๆ โผล่ขึ้นทีละน้อย เป็นพื้นที่กล้างไกลหลายร้อยไร่ จึงทำให้ดอนหอยหลอดเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญที่สุดแห่งหนึ่ง สิ่งที่ดึงดูดใจนักท่องเที่ยว คือ หอยหลอด กล่าวกันว่าเป็นแหล่งที่มีหอยหลอดชุกชุมมากที่สุดแห่งเดียวในประเทศไทย หรือแห่งเดียวในโลก นักท่องเที่ยวนิยมลงไปจับหอยหลอดกันอย่างสนุกสนาน วิธีจับก็ใช้มือกดบงบนพื้นทราย จะปรากฏฟองอากาศ และเห็นรูปรากฏเอาไม้จิ้มปูนขาวแหย่ลงไป หอยหลอดจะโผล่ขึ้นมาให้จับ ต้องรีบเก็บใส่ภาชนะไว้มิฉะนั้นจะมุดดินหนีอยู่ลึกลงไปกว่าเดิมอีก

    ไม่ควรสาดปูนขาวลงบนสันดอน เพราะจะทำให้หอยที่อาศัยอยู่ในบริเวณนั้นตายหมด ช่วงเวลาเหมาะสมที่จะท่องเที่ยวดอนหอยหลอด คือ ประมาณเดือนมีนาคม - พฤษภาคมเพราะน้ำทะเลจะลดลงนานกว่าช่วงเวลาอื่น และสามารถมองเห็นสันดอนโผล่ขึ้นมา นักท่องเที่ยวสามารถเช่าเรือบริเวณศาลาอาภร (ใกล้ศาลกรมหลวงชุมพรเขตตอุดมศักดิ์) เพื่อนั่งเรือไปชมดอนหอยหลอด นักท่องเที่ยวสามารถสอบถามรายละเอียดเวลาน้ำขึ้น - น้ำลง ได้ที่ อบต. บางจะเกร็งโทร 034-723749

    หลาย คนเข้าใจว่า "หอยหลอด" มีเพียงที่ดอนหอยหลอดที่เดียวในโลก แต่ความจริงแล้วยังมีหอยหลอดในบริเวณอื่นอีก เช่น จ.สมุทรปราการ และ จ.ตราด และในต่างประเทศ เช่น อินโดนีเซีย และออสเตรเลีย แต่มีในปริมาณน้อย ไม่มากพอที่จะจัดเป็นแหล่งท่องเที่ยวได้ ทำให้คณะรัฐมนตรีมีมติให้ดอนหอยหลอดเป็นแหล่งท่องเที่ยวอีกแห่งหนึ่งของ ประเทศไทยเมื่อวันที่ 20 มีนาคม 2543
  • ศาลกรมหลวชุมพรเขตอุดมศักดิ์
    บริเวณดอนหอยหลอดยังเป็นที่ประดิษฐานศาลกรมหลวงชุมพรเขตตอุดมศักดิ์ มีการแสดงดนตรีไทยทุกวันอาทิตย์ที่ 1 และ 3 ของเดือน เวลา 17.00-18.30 น. ณ บริเวณสนามหญ้าหน้าศาลกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์

  • แหล่งรวมร้านอาหารทะเล และสินค้าต่างๆ มากมาย
    ตลอดเส้นทางการเดินไปที่ดอนหอยหลอดจะมีร้านอาหารทะเลมากมาย เรียงรายทั้งสองด้านของถนนจนถึงดอนหอยหลอด จะเรียกว่าเป็นแหล่งรวมร้านอาหารทะเลของสมุทรสงครามก็ว่าได้ นอกจากนี้ยังมีร้านขายสินค้าของที่ระลึก ประเภทต่าง ๆ รวมทั้งอาหารทะเลสด-แห้ง กะปิคลองโคน น้ำตาลสด ฯลฯ

การเดินทาง
  • รถยนต์
    1. ไปยังหมู่บ้านบางบ่อ ตำบลบางแก้ว ไปตามถนนธนบุรี-ปากท่อ (พระราม2) ก่อนถึงหลักกิโลเมตรที่ 62 มีป้ายซ้ายบอกทางเข้าดอนหอยหลอด ระยะทางประมาณ 7 กิโลเมตร
    2. ไปยังหมู่บ้านฉู่ฉี่ ตำบลบางจะเกร็ง ไปตามถนนธนบุรี-ปากท่อ (พระราม2) ประมาณกิโลเมตรที่ 64 ก่อนข้ามสะพานพุทธเลิศหล้านภาลัย เชิงสะพานมีป้ายบอกทางเข้าดอนหอยหลอดระยะ
    ทางประมาณ 5 กิโลเมตร
  • รถโดยสาร
    สามารถเดินทางโดยรถสองแถว มีรถออกตลอดทั้งวันจากตัวตลาดในอำเภอเมืองสมุทรสงคราม ไป ยังบ้านฉู่ฉี่ ดอนหอยหลอด
  • เรือ
    การเดินทางไปยังดอนหอยหลอดนอก จากมีเรือขนาดต่าง ๆ บริการที่ท่าริมน้ำแม่กลอง ถ้าเป็นหมู่คณะใหญ่ประมาณ 40 คนขึ้นไป ติดต่อสอบถามล่วงหน้า ที่โรงเลื่อยจักรซุ่นฮวดเฮง คุณพรทิพย์ แสงวณิชโทร. 034-711466, 034-712558, 034-712451, 01-3785858 (มีบริการสั่งอาหารไปทานบนเรือ) หรือ ติดต่อที่ห้องขายตั๋วเรือข้ามฟากริมแม่น้ำแม่กลอง จังหวัดสมุทรสงคราม